‘สหภาพยุโรป’ เตรียม ‘ลดโควตานำเข้าเหล็กลง 15%’ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กในยุโรปจากเหล็กราคาถูกที่ทะลักเข้ามา หลังทรัมป์ตั้งกำแพงภาษีเหล็ก
สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า สหภาพยุโรป (อียู) เตรียมเข้มงวดด้าน “โควตาการนำเข้าเหล็ก” โดยจะลดปริมาณนำเข้าลงอีก 15% ตั้งแต่เดือนเมษายน เพื่อป้องกันไม่ให้เหล็กราคาถูกทะลักเข้าสู่ตลาดยุโรป หลังจากที่สหรัฐประกาศกำแพงภาษีเหล็ก
ทั้งนี้ ผู้ผลิตเหล็กในยุโรป ซึ่งกำลังเผชิญกับต้นทุนพลังงานที่สูง และการแข่งขันจากเอเชีย และภูมิภาคอื่นๆ เตือนว่า อียูอาจกลายเป็น “แหล่งระบายเหล็กราคาถูก” หลังจากเข้าตลาดสหรัฐยาก ซึ่งอาจทำให้โรงงานเหล็กในยุโรปแห่ปิดตัวลง
“ในช่วงเวลาที่ไม่มีใครเคารพกฎองค์การค้าโลก และทุกประเทศต่างอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ... สหภาพยุโรปก็ไม่อาจเป็นทวีปเดียวที่ปล่อยให้อุตสาหกรรมของตนล่มสลายได้” สเตฟาน เซฌูร์เน รองประธานคณะกรรมาธิการยุโรปกล่าว
เซฌูร์เน คาดการณ์ว่า เนื่องจากตลาดสหรัฐกลายเป็นทางเลือกที่ไม่น่าสนใจทางการค้า หลังจากที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำหนดภาษีนำเข้า 25% จนผู้ผลิตจากแคนาดา อินเดีย และจีน อาจหันมาส่งออกเหล็กไปยุโรปในปริมาณที่เพิ่มขึ้นแทนด้านซีอีโอของ Thyssenkrupp ผู้ผลิตเหล็กอันดับสองของยุโรปเปิดเผยว่า สหรัฐนำเข้าเหล็กประมาณ 23 ล้านตันในปีที่แล้ว
เซฌูร์เน ซึ่งรับผิดชอบด้านยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมของสหภาพยุโรป กล่าวว่า มาตรการแรกคือ การลดโควตานำเข้า ซึ่งเรียกว่า “มาตรการปกป้องทางการค้า” สำหรับเหล็กหลายประเภท ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการนำเข้าได้ประมาณ 15%
ปริมาณเหล็กที่นำเข้าภายในโควตา จะสะท้อนถึงกระแสการค้าปกติ และจะไม่ถูกเก็บภาษี
ขณะที่เหล็กที่นำเข้าเกินโควตา จะถูกเก็บภาษีในอัตรา 25% โดยเมื่อปีที่แล้ว สหภาพยุโรปนำเข้าเหล็กประมาณ 60 ล้านตัน โดยในจำนวน 30 ล้านตัน นี้อยู่ภายในโควตาที่ปลอดภาษี
เซฌูร์เน กล่าวว่า กลไกใหม่นี้จะเข้มงวดขึ้นอย่างมาก หลังจากได้รับคำร้องจากอุตสาหกรรม แต่รายละเอียดของมาตรการยังอยู่ระหว่างการพิจารณา